ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

รับรองเรื่องอะไร

๒๔ ก.ค. ๒๕๕๓

 

รับรองเรื่องอะไร
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันมีประเด็นที่เขาบอกว่า เขาโทรศัพท์มาบอกไงว่ามีการปล่อยข่าว เขาพูดว่าปล่อยข่าว มันก็คือข่าวลือนั่นแหละ มันมีการปล่อยข่าวว่า ที่สำนักปฏิบัตินั้นเขาบอกว่ามีพระหลวงพ่อองค์หนึ่งไปหาหลวงตามาแล้ว แล้วหลวงตานี่รับรองรับประกัน แล้วห้ามผู้ใดไปยุ่งกับพระที่ท่านรับประกันองค์นี้ มีแต่พระสงบองค์เดียวที่ยังด่าท่านอยู่ เขาว่าอย่างนั้นนะ

ถ้าพูดประสาเรา เราว่าไม่ใช่ เพราะว่าการรับประกันกันนี้มันก็พูดกันไปใช่ไหม แล้วก็มีความเชื่อถือเพราะว่าเอาครูบาอาจารย์มา แล้วก็ว่ากันไปตามประสาของเขา แต่ถ้าอย่างเรา ในวงปฏิบัติของเรานี้ ในการประกันหรือไม่ก็แล้วแต่ หลวงตาท่านจะพูดว่า ท่านจะชมมาก ท่านจะชมหลวงปู่ลีว่า “เศรษฐีธรรม” เพราะว่าหลวงปู่ลีนี้หลวงตาท่านสร้างของท่านมา

การสร้างมานี่นะ เวลาเราปฏิบัติขึ้นมานี้เหมือนพ่อแม่ พ่อแม่เลี้ยงลูกมาแต่ละคน กว่าลูกจะโตขึ้นมา ลูกต้องผ่านอุปสรรค การศึกษา คบเพื่อนอะไรต่างๆ มันจะมีอุปสรรคมาหมดแหละ แล้วพอมันโตขึ้นมา มันก็ต้องมีปัญหาเดือดร้อน มีปัญหาที่ว่าตัวเองแก้ไขไม่ได้ก็ไปหาพ่อแม่ พ่อแม่ก็จะดูแลมาเห็นไหม ดูแลแก้ไขมาดัดแปลงมา พอถึงที่สุด ถ้าลูกเราจบการศึกษา มีหน้าที่การงานทำ ประสบความสำเร็จนั่นเห็นไหม สิ่งนั้น เนื้อหาสาระมันเป็นข้อเท็จจริง แต่ข้อเท็จจริงอย่างนี้

ระหว่างพ่อแม่ในครอบครัวหนึ่ง มันก็เป็นเรื่องในครอบครัวนั้น ครอบครัวอื่นเขาจะมารู้จักเราได้อย่างไร ฉะนั้นครอบครัวอื่นยังไม่รู้จักขึ้นมานะ แต่มันเพื่อประโยชน์กับสังคมใช่ไหม หลวงตาท่านบอกเลยนี่ “เศรษฐีธรรม เศรษฐีธรรม” เพราะว่าท่านได้ดูแลมา อย่างกรณีของตัวท่านเอง ท่านจะบอกเลยว่า “หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมท่านมา หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมท่านมา”

คนเรานะ ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันจะมีที่มาที่ไป

ฉะนั้นที่ว่าการรับรองนี้มันรับรองอะไร ทีนี้การรับรองที่ท่านรับรองนี้มันก็ต้องมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป ไม่มีอะไรแล้วจะมารับรองๆ กันนี่ มันเลื่อนลอยไง เพราะข่าวเขาก็บอกกันว่า เป็นข่าวลืออยู่แล้ว แต่นี้พอข่าวลือแล้วมันเพราะว่าเขาลือกันไปไง ลือกันไปแล้วเราเป็นคนที่โต้แย้งอยู่

เขาเลยบอกว่า “มีแต่พระสงบเท่านั้นที่ยังต่อต้านเขาอยู่”

เราไม่ได้ต่อต้าน เราไม่สามารถต่อต้านลมฟ้าอากาศได้ เวลาลมพายุต่างๆ มันแปรปรวนมา เราไม่สามารถต่อต้านได้หรอก มันเป็นกระแสลมใครจะไปต่อต้านมันได้

นี่ก็เหมือนกัน สัจจะความจริงมันยิ่งกว่าธาตุ ๔ ยิ่งกว่ากระแสลม ยิ่งกว่าทุกๆอย่าง เพราะมันเป็นสัจธรรม เราจะไม่สามารถต่อต้านใครได้หรอก ทีนี้คำพูดนี่มันเป็นคำพูด พอมีคำพูดกันไปแล้วมันมีผลต่อสังคม ที่เขาบอกว่าหลวงตารับรองแล้ว แล้วเขาก็มาเล่าให้เราฟัง เขาถกขึ้นมา

หลวงตารับรอง รับรองเรื่องอะไร

อย่างเช่นพวกเรานี่นะ พวกเรามีสินค้า ถ้าเราจะจดลิขสิทธิ์ เราต้องเสนอผลงานใช่ไหมว่าสิ่งนี้มันเป็นอะไร มีส่วนผสมอะไร แล้วเทคนิคเทคโนโลยีเป็นอย่างไร สิ่งที่ทำมาแล้วนี้ เราจะจดลิขสิทธิ์ของเรา ลิขสิทธิ์นี้เราเป็นผู้คิดค้นขึ้นมา กรมทรัพย์สินทางปัญญาเขารับแล้ว เขาต้องวินิจฉัยว่ามันถูกต้องไหม มันไปทับซ้อนกับผลประโยชน์ของใครไหม มันลอกเลียนแบบใครมาไหม ทุกอย่างเขาต้องมีขั้นตอนของเขาใช่ไหม เขาถึงจะให้จดทะเบียน

แล้วบอกว่ารับรอง รับรองอะไรล่ะ

ถ้าการรับรองนะ ที่เราเห็นว่าสิ่งนี้มัน... เวลาฝนตกแดดออก เห็นไหม เวลาหน้าแล้งหน้าฝน เวลาฝนพายุมันมา มันมีเหตุมีผลของมัน เห็นไหม อากาศร้อน หน้าฤดูฝน ฤดูมรสุมต่างๆ มันมีเหตุมีผลของมัน ถ้าไม่มีเหตุมีผลของมัน จะรับรองอะไร รับรองสิ่งที่ไม่เป็นจริง มันรับรองไม่ได้หรอก อย่างเช่น สติไม่ต้องฝึก สติไม่ต้องฝึกมันจะเกิดได้อย่างไร เห็นไหมนี่พูดถึงเป็นข้อๆ เลยนะ นี่รับรองอย่างนี้เหรอ รับรอง

๑.สติไม่ต้องฝึก

๒.เผลอปั๊บสติมาเอง

๓.ถ้าตั้งใจจะเป็นสติตัวปลอม

๔.ถ้าตั้งใจฝึกสตินี่เป็นสติตัวปลอม แต่ถ้าเผลอ จะเป็นสติตัวจริง เผลอสติมานี่เป็นตัวจริง

นี่พูดถึงสตินะ ๑ ๒ ๓ ๔ นี่เรื่องของสติ สติที่มา มันก็เหมือนทรัพย์สินทางปัญญา สิ่งที่เราไปจดลิขสิทธิ์ มันพิสูจน์แล้ว มันเป็นไปได้ไหม ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ ใครจะไปจดให้ล่ะ มันเลื่อนลอยมันไม่มีที่มาที่ไป

สติไม่ต้องทำอะไรเลย มันจะมีมาของมัน

แล้วถ้าเป็นเรื่องของสมาธินะ สมาธิไม่ต้องทำ สมาธิมีอยู่แล้ว

๕.“ขณิกสมาธิ” คืออ่านหนังสือหรือรู้ตัวนี่แหละ คือขณิกสมาธิ

ขณิกสมาธิ คือปกตินี่คือขณิกสมาธิ มันจะย้อนกลับมาที่ว่าสมาธิมีอยู่แล้วไง ขณิกสมาธิคือ เขาว่ากันนะว่าอยู่ปกตินี่คือได้ขณิกสมาธิแล้ว

ถึงบอกว่า ถ้าหลวงตา หลวงปู่มั่นท่านเป่ากระหม่อมมา เวลาหลวงตาท่านติดสมาธินะ

เวลาติดสมาธิเห็นไหม ว่างเลย เข้าใจว่านี่เป็นนิพพานเลย ท่านก็ถาม “มหาจิตเป็นอย่างไร ดีไหม” “ดีครับ” “ดีไหม” “ดีครับ” ถึงที่สุดนะเพราะท่านจะแก้ไง “มันจะดีบ้าอะไร นี่สุขอย่างนี้สุขในสมาธินี่ มันติดสมาธินี่สุขในสมาธิ มันเป็นสุขเศษเนื้อติดฟันนะ” ไอ้คนนั้นก็บอกว่า “เอ้า.. สุขแบบนี้ แล้วสัมมาสมาธิ” สัมมาสมาธิในมรรค ๘ เพราะเราเรียนมาเห็นไหม “แล้วเป็นอย่างไรล่ะ” “อ้าว..สัมมาสมาธิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันไม่มีสมุทัยเว้ย สัมมาสมาธิของท่าน เวลาท่านติดสุขท่านมีสมุทัยไง เพราะมีตัณหาความทะยานอยาก ติดสมาธิคือตัวตัณหานะ”

งงนะ แล้วนั่นคือตัวสมาธิ แล้วขณิกสมาธิ การอ่านหนังสือ ชีวิตปกตินี่เป็นขณิกสมาธิ ขณิกสมาธินี่เขาไม่ได้เรียกขณิกสมาธิ เพราะว่า ดูสิ ดูอย่างสติสามัญสำนึกของมนุษย์นี่มันก็มีสติอยู่แล้ว สมาธิสั้นสมาธิยาวของเด็ก สมาธิสั้นสมาธิยาวคือสมาธิของปุถุชน

แต่ถ้าสมาธิในอริยมรรค นี่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ขณิกสมาธินี่พอจิตมันลงนะ พอจิตมันเป็นสมาธิ มันรู้อะไรของมัน เห็นไหม ถ้าอุปจาระแล้ว มันมีหลักของมัน มันออกมาดูกาย เวทนา จิต ธรรม มันจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย

แต่นี้อ่านหนังสือเป็นสมาธินี่ คอมพิวเตอร์มันก็อ่านหนังสือได้ มันเป็นไปไม่ได้ นี่คือเรื่องการทำสมาธินะ

อันนี้ยิ่งน่าเกลียด เผลอๆ ลงสมาธินี่ว่างหมดเลยนะ เวลาเผลอ ลงสมาธินี่ สมาธิว่างมีสุขมาก

ไอ้นี่มันไม่ใช่สมาธิหรอก มันไม่ได้เลยไง มันเผลอๆ จะลงวูบ วูบ วูบ หายหมดเลยนะ ว่าง มีความสุขมาก

มันเป็นสัญญาอารมณ์ สัญญาอารมณ์ตรงไหน ตรงที่ว่างนั่นใครรู้ว่าว่าง ถ้าเป็นสมาธินะ มันพูดว่าว่างไม่ได้ “อื๊อ! อื๊อ!” ตัวมันว่าง นี่แล้วบอกว่าว่างหมดเลยนะ โอ๋ยเผลอๆ นี่มันลงวูบไปเลยสมาธิ นั่นเป็นสมาธิของเขา แล้วบอกเผลอปั๊บสติมาเอง เผลอปั๊บสมาธิลงมาเอง เผลอทุกอย่าง

นี่เราพูดถึงว่ารับรองอะไร หลวงตานี่รับรอง รับรองเรื่องอะไรล่ะ

๖.ว่างๆ สมาธิมาเอง

๗.รู้ตัวทั่วพร้อมจนลงอัปปนาสมาธิ แล้วปัญญาจะเกิดโดยอัตโนมัติ แล้วสมาธิ สมาธิเกิดอย่างไรล่ะ ว่างๆ นี่ ว่างๆ สติมันไม่มี ว่างปั๊บไปเลยปัญญาจะเกิดเอง

๘.ปัญญาต่อเนื่องกับความคิดนี้หยุดไม่ได้ เพราะอะไร เพราะเป็นปัญญาไปเลย ปัญญาต่อเนื่อง คำว่า “ปัญญาต่อเนื่อง” จำดวงหนึ่งเป็นดวงหนึ่ง ดวงหนึ่งเป็นดวงหนึ่ง นี่ปัญญาของเขา

๙.ปัญญาเลยเป็นเอง เป็นเองมาเอง โดยอัตโนมัติ

สติมันก็ผิด สมาธิก็ผิด เผลอก็ผิดอีก ยิ่ง ๑๐ นี่ยิ่งน่าเกลียด

๑๐.จิตส่งออกไม่ได้ สิ่งที่ส่งออกคือสัญญาอารมณ์ ตัวจิตส่งออกไม่ได้ มันเหมือนเราไปไหนไม่ได้ เสื้อผ้าเรานี่ลอยไปเหมือนผีเลย เสื้อผ้ามันลอยไปได้ เสื้อผ้ามันไปได้เพราะอะไร เพราะมนุษย์ใส่มันถึงไปได้ จิตก็เหมือนตัวมนุษย์ เสื้อผ้าคือสัญญาอารมณ์ คือความคิด เขาบอกว่าสัญญาอารมณ์ส่งออก จิตส่งออกไม่ได้ สัญญาอารมณ์ส่งออกเท่านั้น

รับรองเรื่องอะไร เพราะเขาส่งข่าวมาว่าหลวงตารับรอง แล้วรับรองนี่ก็ในวงในเขา แต่วงนอกมันก็ไม่มีปัญหาแล้วล่ะ แต่นี่เพียงแต่ว่ารับรองนี่ เราจะบอกว่ารับรองอะไร ตั้งแต่ปัญหา ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ นี่หรือรับรอง สติไม่ต้องฝึก ถ้ารับรองอย่างนี้เหรอ

นี่ไงมันเหมือนกับเราจดลิขสิทธิ์ ถ้าเราจดลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา เราต้องพิสูจน์ได้ เราต้องพิสูจน์ว่า สิ่งนี้เราเป็นคนคิดค้นขึ้นมา

เรื่องการปฏิบัติ มันเป็นอย่างนี้ มันเหมือนกับการคิดค้นขึ้นมา ทั้งๆ ที่เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาใครปฏิบัตินี่มันเป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง มันจะเป็นเหมือนกับคิดค้นขึ้นมาเอง แต่มันมีตำรับตำรามีทฤษฏีแล้ว อย่างเช่น ทฤษฎีเห็นไหม คือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นทฤษฎี แล้วเราปฏิบัตินี่มันจะเหมือนลิขสิทธิ์ทางปัญญา

คือเราจะทำของเราขึ้นมา ทำของเราขึ้นมา ใครจะรับรองใครหรือจะไม่รับรองนั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องจริงมันต้องมีข้อเท็จจริงอย่างนี้ขึ้นมา มันถึงจะมีคนรับรองได้ แล้วถ้าคนรับรองได้ รับรองในเรื่องอะไร เหมือนช่างทองเลย ช่างทองเห็นไหมเขาทำทองคุณภาพอะไร ส่วนผสมทองกี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าส่วนผสมทองกี่เปอร์เซ็นต์นะ ทองมีความแข็งขนาดไหน มันมีส่วนผสมอะไร มันขึ้นรูปอย่างไร ต้องการทอง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทองที่มีคุณภาพของ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มันนิ่มมันอ่อนมันไม่แข็ง จะทำวัสดุสิ่งใด ช่างทองเขาจะรู้ของเขาหมดเลย

คำว่า “ช่างทอง”  นี่ก็เหมือนกัน นักปฏิบัตินี่เหมือนช่างทอง นักปฏิบัติเหมือนกัน ประพฤติปฏิบัติใจนี่มันต้องควบคุม มันต้องแก้ไขของนักปฏิบัตินั้นเอง เจ้าของร้านทองนั้นเขาก็จ้างช่างทองนั้นมาทำ เราเป็นช่างทอง เราเป็นผู้กระทำ เราจะบอกให้ร้านรับประกันว่ากี่เปอร์เซ็นต์ ไอ้ช่างทองนั้นมันเป็นคนผสมเอง ช่างทองนั้นมันอาจจะพลิกแพลงของมันเอง มันทำอะไรตามใจมันได้ทั้งนั้นแหละ

นี่พูดถึงช่างทอง แล้วถ้าช่างทอง เขาก็ต้องรู้ว่าคุณภาพของทองมันคืออย่างไร ทองคำเป็นทองคำนะ เงินคือเงินนะ ตะกั่วคือตะกั่วนะ แล้วสิ่งที่ทำมา สิ่งที่พูดมานี่มันมีส่วนผสมของอะไรบ้าง ที่ว่าหลวงตารับรองนี่ มันรับรองอะไร ตั้งแต่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ เลย ๑. สติไม่ต้องฝึก ๒. เผลอปั๊บสติมาเอง ๓. ตั้งใจสติตัวปลอม เผลอๆ สติตัวจริง นี่ขั้นของสติ

ขั้นของสมาธิ สมาธิไม่ต้องทำ สมาธิมีอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้ว นี่ไงเพราะสมาธิมีอยู่แล้วมันถึงมาลงข้อที่ ๕ ขณิกสมาธิคืออ่านหนังสือ คือรู้ตัวนี่แหละคือขณิกสมาธิ อย่างนั้นแล้วไม่ต้องฝึกสมาธิ สมาธิมีอยู่แล้ว มันก็เหมือนกับพวกเรานี่เป็นคนดีอยู่แล้ว พวกเรามีเงินทุนอยู่แล้ว ทุกคนเป็นเศรษฐีอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรนะ กลับบ้านแล้วนอน นอนแล้วกิน กินแล้วนอนนี่เป็นเศรษฐีอยู่แล้ว ไม่ต้องทำงานเลยมันจะเป็นเศรษฐีเอง

ที่เป็นอย่างนี้นี่เราพูดตอนเช้าไง ตอนเช้าเราบอกว่า สิ่งที่เราเป็นกันอยู่นี่มันเป็นบุญเก่า กินของเก่า มนุษย์ที่เกิดมาเป็นมนุษย์เพราะบุญกุศล มนุษย์สมบัติถึงมาเกิดเป็นเรา เพราะมนุษย์สมบัติมันมีสถานะอย่างนี้ มันเป็นโลกียปัญญา เป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องสามัญสำนึก เป็นเรื่องของมนุษย์ มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ฉะนั้นไอ้เรื่องสติระลึกรู้นี่มันเป็นเรื่องสามัญสำนึกโลก แต่มันไม่ใช่อริยมรรค มันเข้ามรรคไม่ได้หรอก

ถ้าสมาธินี่เห็นไหม มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ สมาธิในมรรค ๘ มันสมาธิอีกเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งเลย อีกเรื่องหนึ่งเพราะมันเป็นโลกียปัญญากับโลกุตตรปัญญา ถ้ามันเป็นสมาธิ แม้แต่ไอน์สไตน์นะ ไอน์สไตน์นี่เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาพิจารณาขนาดนั้น เขาพิสูจน์ในห้องแล็บของเขา เขาเพ่งอยู่อย่างนั้นแหละ เขาได้สมาธิหรือยัง

สมาธิของโลก นักวิทยาศาสตร์นะนักวิจัย เขาจะวิจัยงานของเขา เขาจะเคร่งเครียดอยู่นี่ นี่โลกียปัญญา เพราะเขาต้องการผลงานอันนั้น แต่สมาธิในสัมมาสมาธินี่มันมีสติ มันกำหนดพุทโธ หรือมันใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมานี่มันปล่อยวาง นักวิจัยเห็นไหม เขาเคร่งเครียดอยู่กับสิ่งที่เขาวิจัย เขาเพ่งอยู่กับสิ่งที่เขาวิจัย เขาทดสอบเขาวิจัย พุทโธ พุทโธ พุทโธจนจิตสงบ คนวิจัยถ้าไม่มีสายตา ไม่มีสติพร้อม มันจะวิจัยสิ่งใดได้ไหม

สัมมาสมาธิ จิตมันหดเข้ามาหมด มันหดเข้ามาหมด มันไม่ได้เพ่งออกไป เพ่งไปดูไปวิจัย นั่นมันเป็นเรื่องของโลก เพราะมันเป็นเรื่องของโลก แต่ถ้ามันเป็นสมาธินี่มันหลับตาใช่ไหม แล้วมันเข้ามาในตัวมันเอง มันจะไปวิจัยสิ่งใด นี่โลกุตตรปัญญา สัมมาสมาธิ สมาธิในอริยมรรค มันไม่ใช่สมาธิอย่างที่ว่าอ่านหนังสือก็เป็นสมาธิ นักวิจัยยังไม่เป็นสมาธิเลย แล้วมึงอ่านหนังสืออยู่นี่แล้วบอกว่าเป็นขณิกสมาธิ

กูจะดูว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญามันจะจดลิขสิทธิ์ให้หรือเปล่า มันเป็นไปไม่ได้ ขณิกสมาธิคืออ่านหนังสือ นี่ข้อ ๕.

๕.เผลอๆ ลงสมาธิแล้วว่าง เพราะเขาพูดกันบ่อย เขาบอกว่าเขากำหนดดูนะ พอเผลอปั๊บมันลงวูบ โอ้โฮ ว่างโล่งไปหมดเลย

คำพูดนี่มันขัดแย้งกันไปหมดเลย มันเป็นไปไม่ได้

นี่ขั้นของสมาธิ พอขั้นของปัญญาก็ไปอีกเรื่องหนึ่งเลย ขั้นของปัญญานะ รู้ตัวทั่วพร้อม ลงอัปปนาสมาธิเป็นปัญญาอัตโนมัติ ปัญญามันจะต่อเนื่อง เห็นไหม จากจิตดวงหนึ่งจำจิตอีกดวงหนึ่ง เห็นไหม จิตดวงหนึ่งจิตจำจนเป็นปัญญาขึ้นมา แล้วปัญญามันจะต่อเนื่องกัน ปัญญามันเป็นเองโดยอัตโนมัติ

อย่างนี้นี่พูดถึง ถ้าหลวงตารับรอง รับรองเรื่องอะไร รับรองในเหตุผลอย่างนี้ไหม ถ้าหลวงตารับรองในเหตุผลนี้ ต้องเอาเหตุผลนี้มาเป็นตัวตั้ง

คำว่า “รับรอง” นี่ อย่าดึงฟ้าต่ำ พยายามจะไปดึงมา จะไปดึงครูบาอาจารย์มาเป็นผู้ที่รับรองตน ช่างทองไม่ต้องให้ใครมารับรองนะ ช่างทองมีฝีมือ ช่างทองเป็นคนทำ ช่างทองต้องรู้ว่าอะไรเป็นทองคำ แล้วช่างทองถ้ามีฝีมือ ช่างทองก็ยังมีคนละระดับเห็นไหม ช่างเจียระไน ช่างเพชร ช่างต่างๆ ถ้าฝีมือเขาสุดยอด โอ้โฮ ผลงานของเขาจะเยี่ยมมากเลย แต่ฝีมือของเด็กหัดใหม่ มันก็เป็นช่างเจียระไนเหมือนกัน แต่ฝีมือเขายังไม่เข้าระดับใช่ไหม ไอ้อย่างพวกเรานี่พวกฝึกหัด เราก็มีครูบาอาจารย์ของเราไป

ฉะนั้นอยู่ที่ข้อเท็จจริงอยู่ที่ฝีมืออยู่ที่การกระทำ ฝีมือของเรานี้ไม่เข้าระดับเลย แต่เราบอกว่า เราเป็นช่างเจียระไน ช่างทองที่สุดยอด อย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าเราจะเป็นช่างทองที่สุดยอด จะเป็นช่างเจียระไนที่ดี เราเอาผลงานอันนั้นมาวางไว้ เขามาดูผลงานนี่เขาจะหาคนทำเลย ถ้าเขาเพชรหรือเห็นทองคำ เห็นสิ่งต่างๆ ที่มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เขาจะสืบหาคนทำนั้นว่าใครเป็นคนทำ เขาอยากหาคนทำ

ไอ้นี่ผลงานตัวไม่มีเลยนะ องค์นั้นก็รับรอง องค์นี้ก็รับรอง เราถึงบอกว่ารับรองเรื่องอะไร เราอยากรู้ว่ารับรองเรื่องอะไร

เราถึงบอกว่านี่คือผลงานไง ผลงาน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ นี่ผลงานอะไร ถ้าผลงานอย่างนี้ ถ้ามีครูบาอาจารย์รับรอง อย่างว่าแหละนี่เขาพูดถึงครูบาอาจารย์นะ เราก็ยกไว้ สาธุ ถ้าไม่อย่างนั้นจะถามว่าอาจารย์องค์ไหนรับรอง

เหมือนกับว่าในสังคม สิ่งที่เป็นแก้วแหวนเงินทอง แล้วมันไม่ใช่มันเป็นตรงข้าม แล้วสังคมนั้นจะยอมรับไหม สังคมรับไม่ได้นะ สังคมนั้นต้องการสิ่งที่มีคุณค่า ต้องการคุณงามความดี แล้วเราไปเอาแต่ความเห็นของตัว แล้วบอกครูบาอาจารย์รับรอง เพื่อให้สังคมยอมรับนี้ มันขัดแย้งกัน

แต่ถ้าเป็นของดีนะ เห็นไหม หลวงตาท่านจะพูดอยู่ ไปอยู่ในหลืบอยู่ในเหว อยู่ในถ้ำไหนก็แล้วแต่ คนเขาจะเสาะแสวงหา เขารู้ของเขาเอง เขาจะเสาะแสวงหา ไม่ต้องมาว่า ใครรับรอง ใครรับรองหรอก ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกนี่รับรอง

ถึงบอกว่าหลวงตารับรอง แล้วบอกด้วยว่าไม่ให้ใครมายุ่งกับพระองค์นี้ เว้นไว้แต่ไอ้บ้าหงบนี่ยังกัดเขาไม่เลิก ไม่ได้ว่าอะไรเลย เรื่องส่วนบุคคล จะพูดแต่ข้อเท็จจริง เพราะสังคมเขาไม่มีวุฒิภาวะที่เขาจะแยกถูกแยกผิดได้ เราก็แยกถูกแยกผิดตามความเป็นจริงเท่านั้นแหละ นี่พูดถึง ที่เขาบอกว่ามีการรับรอง เราไม่เชื่อด้วยจิตใต้สำนึก ไม่เชื่อด้วยความไม่เชื่อตั้งแต่ต้น เพียงแต่มันมีกระแสมา มันมีการแอบอ้างมา

เราถึงพูดไงว่า “รับรองเรื่องอะไร”

ถาม : ๑๕๑.นะ หนูฝึกสมาธิมา ๘ ปี ฝึกโดยการน้อมความสุขที่เคยได้รับ แล้วให้ความสุขนั้นผุดขึ้นมาในกลางหัวอก ถึงรู้สึกความสุขนั้นขึ้นมาอีก

หลวงพ่อ : นี่พูดถึงการปฏิบัติมาเรื่อย แล้วก็บอกว่าความสุขนั้นเคยปฏิบัติมา ๘ ปี แล้วมันว่างไป หายไป แล้วมาหาเรานี่แหละ ในนี้เขาเขียนว่ามาหาเรา แล้วเราบอกว่าให้พุทโธ พุทโธ เขาบอกว่าพุทโธไม่ได้ เราก็บอกให้พุทโธทางปากก็ได้ เขาพุทโธทางปากอยู่พักหนึ่ง

ถาม : แล้วตอนนี้พอพุทโธ พุทโธไปนี่ พอพุทโธ พุทโธไปรู้สึก เกิดรู้สึกขึ้นมาชัดกลางอก อย่างที่เคยเป็นเมื่อ ๘ ปีที่แล้วค่ะ และหนูก็จะบริกรรมพุทโธเป็นชีวิตประจำวันไป ไม่กล้าออกเสียงดังเวลามีคนอยู่ด้วยค่ะ จะออกเสียงเวลาไม่มีใคร แล้วพยายามไม่ให้ขาดจากคำบริกรรม

หลวงพ่อ : เนี่ยพุทโธจนมีตำแหน่งรู้ชัด ยิ่งชัดเจนขึ้นมากว่าไอ้ที่มีความสุขนี่ เขากำหนดสุข กำหนดสุขว่ามีความสุขของเขามาตลอด ฉะนั้นทำมา ๘ ปี ทีนี้เขาถาม

ถาม : ๑. หนูเจอฐานแล้วใช่ไหมคะ หนูเจอฐานคือว่าสิ่งที่ทำนี่ถูกไหมคะ

หลวงพ่อ : เจอฐานนี่นะ มันก็ทำสมาธินี่แหละ พอเราบริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธไปนี่นะ บริกรรมพุทโธไป มันเหมือนกับรีไซเคิลน้ำ น้ำนะน้ำโดยธรรมชาติ น้ำที่มันมาจากแหล่งน้ำตาน้ำ อย่างเช่น แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง จากตาน้ำจะใสมาก จะมีคุณประโยชน์มาก เห็นไหม

โดยความคิดของคน จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี่มันเป็นต้นน้ำ ต้นน้ำนี่พลังงานนี้มันสะอาดบริสุทธิ์มาก่อนนะ ทีนี้พลังงานที่สะอาดบริสุทธิ์นี่คือจิตเดิมแท้ แต่เพราะคนเรามีอวิชชาครอบงำมันอยู่เห็นไหม ความคิดมันจะหมอง ความคิดมันจะเศร้ามันจะหมอง มันจะมีส่วนผสมของตัณหา ส่วนผสมของความพอใจไม่พอใจ ส่วนผสมของจริตนิสัยออกมา มันก็ออกมาเป็นสัญชาตญาณ สัญชาตญาณมันก็ออกมาเรื่อยเห็นไหม ทีนี้เราบริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธไปก็เหมือนรีไซเคิลน้ำเห็นไหม น้ำเสียเรารีไซเคิลให้กลับเป็นน้ำสะอาดได้ นี่การรีไซเคิลน้ำ พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันก็มีการบริกรรม มีการกระทำ เห็นไหม

โดยธรรมชาติ ต้นน้ำนี้ น้ำมาจากน้ำที่สะอาด แต่มันจะเป็นน้ำสะอาดขนาดไหนนะ มันก็มีส่วนผสมของแร่ธาตุ ส่วนผสมของทุกๆ อย่างเห็นไหม มันมีอวิชชานอนเนื่องมากับจิต ทีนี้อวิชชานอนเนื่องมากับจิต มันนอนเนื่องใช่ไหม น้ำถ้ามีส่วนผสมแร่ธาตุที่เป็นสารพิษอย่างนี้ ถ้าเราเอาไปทำประโยชน์อะไร สิ่งนั้นจะเสียประโยชน์ไปหมดเลย

ทีนี้ความคิดของเราก็เหมือนกัน เราอยากประพฤติปฏิบัติ เราอยากจะพ้นจากทุกข์ เราอยากจะเป็นคนดี เราอยากเป็นทุกๆอย่าง แต่ดีของใครล่ะ ดีในแง่มุมไหนล่ะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันดีในแง่มุมไหนมันก็แตกต่างหลากหลาย เพราะความรู้สึกนึกคิดของคน ทีนี้พอเราอยากปฏิบัติใช่ไหม ให้เป็นอริยทรัพย์ อริยมรรค เป็นสัจธรรม สัจธรรมนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ทำความสงบของใจ ทำความสงบของใจก็คือการรีไซเคิลน้ำ

น้ำนี้ เริ่มต้นมันก็มาจากเจตนาที่ดีทั้งนั้นแหละ แต่มันไปแล้ว มันมีส่วนผสม เห็นไหม มีส่วนผสมคือผลกระทบ กระทบจากหู จากตา จากลิ้น ผลกระทบจากใจที่มันไม่พอใจ ผลกระทบมันเกิดขึ้นมา ฉะนั้นเอาสิ่งนี้ไปทำ มันก็จะอยู่ในวังวนอย่างนี้ คือวังวนของโลก วังวนของสามัญสำนึก วังวนของสัญญา วังวนของการกระทำ เราถึงมาพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ แล้วพุทโธนี่มันจะรู้เลยนะ

น้ำที่มันสกปรกขนาดไหนนะ เรามีการแก้ไขมัน เราใช้กังหัน กังหันชัยพัฒนาก็ได้ปั่น ใช้พืชดูดสารแร่ธาตุ โลหะหนัก อะไรต่างๆ มันทำของมันได้ไง ทีนี้พุทโธ พุทโธ พุทโธไป น้ำที่มันสกปรกเราก็รู้ น้ำที่มันสะอาดขึ้นมาเราก็รู้

ฉะนั้นที่บอกว่า หนูถึงถามว่าใช่ไหมคะ นี่เราเทียบค่าได้ น้ำสกปรกถ้าเราเข้าไปใกล้ๆ นี่เหม็น ไม่มีใครอยากเข้าใกล้เลย แต่พอน้ำมันเริ่มดีขึ้นมา น้ำนั้นเขาจะเอามาใช้ทางการเกษตรนะ น้ำนั้นเขาถึงจะเอามาใช้ประโยชน์นะ

ฐานหรือไม่ฐานนี่มันอยู่ที่เรา สมถกรรมฐานคือจิตมันสงบเราก็รู้ เราก็รู้นะ เมื่อก่อนเคยคิดมาก แล้วเอาความคิดของตัวเองไว้ไม่ได้ ความคิดเดี๋ยวนี้จางลง ความคิดเดี๋ยวนี้เบาขึ้น พอมันถึงฐานนะ

ถึงฐานหรือไม่ถึงฐานนี้ เราจะบอกว่ามันไม่จำเป็น มันยังไม่ใช่ความจำเป็น ถ้าบอกว่าถึงฐานนะ คำนี้แหละที่เป็นจุดบอดของกรรมฐาน วงกรรมฐานเราบอกว่าต้องทำสมาธิจนได้สมาธิแล้วค่อยออกวิปัสสนา

น้ำนี่นะ ถ้าสะอาดจนดื่มกินได้ น้ำสกปรกนี่สะอาดจนดื่มกินได้ มันเป็นสิ่งที่เราปรารถนา แต่น้ำบางชนิดเราทำให้มันสะอาด แต่มันมีสารตกค้าง จะเอามาดื่มกินไม่ได้ มันไม่สะอาดพอที่ร่างกายที่จะกินได้ แต่ ! แต่มันเอาไปทำการเกษตรได้ ไปทำการอุตสาหกรรมได้ เขาก็จะเอาน้ำนี้ไปทำการอุตสาหกรรมใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันสงบ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พอจิตมันเริ่มจากสามัญสำนึก จากที่สิ่งที่มันเป็นโทษกับเรา แต่พอเราเห็นโทษของมันแล้วใช่ไหม เราก็ปล่อย เห็นโทษของความคิด เห็นโทษของอะไรที่มันทำให้เราไปเป็นทุกข์กับมันนี่เราวางได้ พอวางได้เห็นไหม น้ำนี้ไม่ถึงกับสะอาดจนกินได้ แต่น้ำนี้มันไปใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม ใช้ประโยชน์ในการเกษตรได้ นี่เราเอามาใช้แล้ว เอามาใช้คือว่าเราใช้ปัญญาแล้ว ใช้ปัญญาไตร่ตรอง คิดก็ได้ หรือใช้ปัญญาต่างๆก็ได้

คือเราจะบอกว่า ไม่ต้องลงสมาธิจนว่างหมดแล้วค่อยมาพิจารณาหรอก พอน้ำมันใช้ประโยชน์ได้ เราก็หัดพิจารณาไป พอพิจารณาไปเห็นไหม น้ำนั้นเอาไปทำการเกษตร มันก็เกิดเป็นพืชผักขึ้นมา พืชผักนั้นเอามาเป็นอาหารได้ อาหารหรือเป็นพืชผักมา พืชผักเราจะเอาไปทำน้ำผักน้ำผลไม้คั้น มันก็เป็นน้ำกินขึ้นมาเห็นไหม เราใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญต่างๆ ขึ้นมา

มันจะถึงฐานหรือไม่ถึงฐาน มันจะกลับมาถึงฐานด้วยปัญญานี้ไง มันจะกลับมาถึงฐานต่อเมื่อน้ำนี่มันสะอาดบริสุทธิ์ น้ำนี่เป็นประโยชน์ขึ้นมา มันจะเกิดสิ่งมีชีวิต มันจะเกิดพืชพันธุ์ธัญญาหาร มันจะเกิดการอุตสาหกรรม ถึงจะดื่มกินไม่ได้นี่แหละ แต่พอมันเป็นอุตสาหกรรม พออุตสาหกรรมนั้นเราไปแลกเปลี่ยนขึ้นมา มันก็เป็นน้ำสะอาดขึ้นมาได้

นี่ก็เหมือนกัน อย่างเป็นพืชผักก็มาเป็นน้ำสะอาดได้ พุทโธ พุทโธไป จะถึงฐานหรือไม่ถึงฐาน ก็หัดใช้ปัญญาบ้าง การใช้ปัญญานั้นมันจะเข้ามาสู่ฐานของมันเอง นี่ไงจุดบอดตรงนี้ จุดบอดที่เขาบอกว่า “ต้องสัมมาสมาธิ แล้วเราทำสมาธิกันไม่ได้ เราเมื่อไหร่จะพิจารณา เมื่อไหร่”

ตรงนี้เขาเอามาเป็นข้ออ้างไง แล้วไอ้คนที่ทำสมาธิไม่ได้ “ผมทำสมาธิไม่ได้ ผมทำสมาธิไม่ได้” แล้วเอ็งหายใจทำไม เอ็งกินข้าวได้หรือเปล่า จริงๆ นี่มันทำได้ มีแต่ทำง่ายหรือทำยากเท่านั้นแหละ ถ้ามันทำได้ง่าย คนนั้นมีวาสนา ถ้ามันทำได้ยาก มันยากหน่อยเราก็ต้องลงทุนลงแรง

มันเหมือนกับเราทำธุรกิจ บางทีเราก็ประสบความสำเร็จได้ง่าย บางทีเราก็แหม กว่าจะประสบความสำเร็จ กว่าจะทำอะไรมามันมีแต่ผลตอบสนองข้างเคียงเยอะไปหมดเลย การภาวนานี่มันมีผลอย่างนี้ ฉะนั้นเราจะเลือกไม่ได้ไง เราไม่สามารถจะควบคุมอะไรได้ แต่เราสามารควบคุมใจของเรา แล้วเรารักษาของเราไป

นี่พูดถึงคำบริกรรมพุทโธ พุทโธ ว่าหนูถึงฐานหรือเปล่า เราจะพูดอย่างนี้บอกว่า อย่าไปกังวลไง ที่พูดนี้พูดไม่ให้กังวล ไม่ใช่ว่าเราต้องถึงฐาน เอาแค่ความสงบ เอาแค่ความรู้สึก เอาความสงบนี่แล้วเราพุทโธของเราไปเรื่อยๆ ถ้าพุทโธได้นะ ถ้าพุทโธไปได้พุทโธไปเรื่อยๆ แล้วเราใช้ปัญญา หัดใช้ปัญญาไป

เหมือนกับเด็กนี่หัดฝึกงานไป หัดทำไป จะผิดจะถูก ไม่เป็นไร ทุกคนทำงานต้องมีผิดทั้งนั้นแหละ ผิดถูกอย่าไปซีเรียสกับมันว่า ฉันเกิดมาต้องทำถูกต้องจะได้มรรคผลนิพพาน หยิบมันมาเลยอย่างนี้ โอ้โฮ ถ้าทำได้ทุกคนก็ปรารถนาแหละ แต่มันมีน้อย ขิปปาภิญญา ปฏิบัติง่ายรู้ง่ายมี แต่มันน้อย แต่ถ้าเราทำของเราตามข้อเท็จจริง ผิดก็ผิด ผิดก็แก้ไข ถูกก็สาธุ โอ้โฮ มีความสุข แต่ถ้าผิด ผิดก็แก้ไข ผิดก็แก้ไข เราทำของเราไปอย่างนี้

“โคนันทวิสาล” เราจะลากเกวียนของเราไป เราจะลากภาระชีวิตนี้ไป ใครจะเป็นอย่างไรช่างหัวมัน เอาความจริงอันนี้ ไม่ต้องไปวิตกกังวลว่าถึงฐานหรือไม่ถึงฐานนะ

ถาม : ๒. ถ้าใช่ ถ้าใช่ฐาน หนูจะปฏิบัติต่อไปอย่างไรคะ ให้ทิ้งคำบริกรรมมาอยู่ที่จุดชัดนั้นใช่หรือเปล่าคะ

หลวงพ่อ : เราขีดเส้นไว้เลยตรงนี้ ใช่ ! ถ้าปฏิบัติไปมันจะถึงฐาน แต่ถ้ายังไม่ถึงฐาน เราก็พุทโธของเราไปเรื่อยๆ สิ่งที่เราขีดเส้นใต้ไว้เลย ให้ทิ้งคำบริกรรมแล้วไปอยู่ที่จุดชัดเจนนั้นใช่ไหมคะ เราขีดเส้นใต้ไว้เลยนี่ เพราะเราอ่านดูก่อน ตรงนี้สำคัญมาก ห้ามทิ้งเด็ดขาด ! ห้ามทิ้งคำบริกรรมเด็ดขาด !

บริกรรมพุทโธไปเรื่อยๆ ถ้าบริกรรมพุทโธไปนี่เหมือนเรารีไซเคิลน้ำนี่นะใบพัดมันจะหมุนของมันไป ห้ามหยุดเด็ดขาด ถ้าเราหยุดใบพัดปั๊บ น้ำที่มันสะอาดมันก็เลิกสะอาดแล้ว แล้วน้ำมันเสียอยู่แล้ว พอการกระทำมันไม่มีใช่ไหม น้ำนั้นจะหมักหมม จุลินทรีย์มันจะเกิดขึ้น ความเน่าเสียมันจะเพิ่มมากขึ้น ต้องหมุนตลอดเวลา หมุนเพื่อให้น้ำมันสะอาดให้ได้ คำบริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธนี่เหมือนใบจักรนั้นที่มันกวนน้ำนั้นเพื่อให้มีความสะอาด ห้ามหยุดเด็ดขาด ! ห้ามหยุดเด็ดขาด !

ทีนี้ห้ามหยุดเด็ดขาดนี่เพราะมันไปชัดอยู่ที่ฐาน มันไปชัดอยู่ที่ความสุขนั้น สิ่งที่มันชัดขึ้นมา มันชัดเพราะน้ำมันสกปรกนะ น้ำจากโรงงานอุตสาหกรรมนี่เหม็นมาก มันสกปรกมาก เราไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย แต่พอมันรีไซเคิลไปมันเริ่มสะอาดขึ้นมา เราเริ่มรู้เริ่มเห็นนะ มันเริ่มชัดขึ้นมานะ ความชัดนั้นเกิดจากอะไร เกิดจากทำน้ำสกปรกให้เป็นน้ำสะอาด ความชัดของความที่เป็นสุขนี่เกิดจากพุทโธ ในเมื่อมันเกิดจากพุทโธ แล้วเราจะทิ้งพุทโธได้อย่างไร เราห้ามทิ้งพุทโธเด็ดขาด

มันเกิดจากพุทโธ เราถึงต้องยึดพุทโธตายเลย ! ยึดพุทโธจนตาย ! แล้วพุทโธไปเรื่อยๆ แต่พอน้ำมันสะอาดหมดแล้ว ใบพัดนั้นมันจะหยุดของมัน เพราะใบพัดนั้น พอมันสะอาดหมดจด จนไม่มีสิ่งอะไรเสียหายเลยนะ มันจะหยุดของมัน เพราะน้ำมันสะอาดบริสุทธิ์แล้ว ใบพัดมันจะหมุนไปทำไม

พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ เราตะโกนขนาดไหน พุทโธมันไม่มีเอง คำว่าพุทโธนี่มันไม่มีเอง มันไม่มีเองเพราะอะไร มันไม่มีเองเพราะโดยสามัญสำนึกของคน เห็นไหม หลวงตาบอกว่าคนเรานี่มีอารมณ์สอง พลังงานคือตัวจิต สามัญสำนึกนี่เป็นความคิด ความคิดกับจิต คนเรานี่มีอารมณ์สอง ทุกคนไม่มีอารมณ์หนึ่ง อารมณ์หนึ่งคือสมาธิ อารมณ์หนึ่งคือน้ำสะอาด แต่เรามีอารมณ์สอง เรามีความคิดกับความรู้สึก มีความคิดตลอดเวลา ไม่คิด บางทีความคิดมันหายไป เราก็รู้สึกอยู่ เอ๊ะ เอ๊ะอะไรนี่ เห็นไหมอารมณ์สอง ถ้าไม่มีความรู้สึกอันนี้ความคิดจะเกิดไม่ได้

เวลาเราเผลอ เห็นไหม ความคิดก็ไม่มี แล้วเผลอไปด้วย ทิ้งหมดเลย นี่คือซากศพเดินได้ มีชีวิตอยู่เหมือนไม่มี เพราะขาดสติ ถ้ามีสติขึ้นมามันมีพลังงาน คือความรู้สึกอยู่ แล้วความคิดเห็นไหม พุทโธ พุทโธ พุทโธนี่อารมณ์สอง พุทโธ พุทโธ พุทโธ ถ้าเราไม่คิดพุทโธมันคิดเรื่องอื่น คิดว่างๆ นะ เผลอปั๊บว่างหมดเลย เป็นสัญญาอารมณ์เห็นไหม มันไม่ใช่สมาธิหรอก เพราะมันคิดให้ว่างก็ได้ คิดให้เผลอก็ได้ จะคิดอะไรก็ได้ แต่เราคิดพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ

โดยธรรมชาติความคิดนี้มันเกิดจากพลังงาน พอพุทโธ พุทโธ พุทโธ พอบริกรรมบ่อยครั้งเข้า พุทโธมันจะละเอียดขึ้นเรื่อยๆ มันจะละเอียดขึ้นเรื่อยๆ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธจนมันเป็นเนื้อเดียวกัน จนมันเป็นหนึ่งเห็นไหม เนี่ยรีไซเคิลน้ำจนสะอาด พอมันเป็นหนึ่งขึ้นมานี่ พุทโธมันจะหายไปเอง แต่ห้ามทิ้งเด็ดขาด

คนที่ภาวนาไม่เป็น หรือภาวนาแล้วมีปัญหา เพราะไปทิ้งพุทโธ แล้วพอพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ อ้าว..ทำไมไม่พุทโธล่ะ อ้าว..ก็มันหายไง มันละเอียดมันละเอียด เข้าข้างตัวเองไง มันละเอียดมันละเอียด มันละเอียดมันยังนึกได้ เป็นสองอยู่ เป็นสองอยู่ ถ้ามันนึกพุทโธ พุทโธจนมันไม่นึก หรือนึกไม่ได้ มันหายไปเอง

ฉะนั้นถึงบอกว่า ถ้าทำอย่างนี้นะเดี๋ยวจะเข้าใจ เพียงแต่ว่าการกระทำ วิธีการเห็นไหม พอเราพุทโธ พุทโธ พุทโธ พอมันว่างแล้วอย่างที่ว่านี่ ถ้ามันชัดเจนมีความสุข เราหัดใช้ปัญญาได้ การใช้ปัญญาคือการใคร่ครวญในอริยสัจ ๔ ถ้าพอใคร่ครวญเสร็จแล้ว พอมันเหนื่อยเราก็กลับมาที่พุทโธอีก นี่ทำระหว่างก้าวเดินไป ระหว่างพุทโธกับสมาธินี่ ทำอยู่อย่างนี้ตลอดไป มันถึงจะถูกต้อง

ให้ทิ้งใช่ไหม ห้ามทิ้งเด็ดขาดนะ สิ่งที่กำหนดสุข เมื่อก่อนกำหนดสุขมา ๘ ปี กำหนดสุขนะมันก็เป็นสัญญาอารมณ์ มันกำหนดสุขเห็นไหม กำหนดสุข กำหนดมรณานุสสติ กำหนดอะไรก็ได้มันต้องมีการกำหนด เพราะมันมีกำหนด มันถึงเกิดมีจิตมาเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่มีการกำหนดจะไม่มีอะไรเลย ฉะนั้นถ้าเรากำหนดพุทโธ พุทโธอยู่ ห้ามทิ้งเด็ดขาดนะ สิ่งที่เมื่อก่อนมันเป็นสุขอยู่ใช่ไหม แล้วมันเจือจางไป ๘ ปีที่แล้ว พอมาพุทโธ พุทโธ เพราะมีการบริกรรมพุทโธ สุขนี้ถึงเกิดขึ้นมาให้ชัดเจนอีก ฉะนั้นถ้าจะทิ้งพุทโธไปอยู่สุข เดี๋ยวหายหมดเลย

ฉะนั้นอยู่กับพุทโธห้ามทิ้งเด็ดขาด ! อยู่กับพุทโธตลอดไป แล้วทำไปนี่ปัจจัตตัง “ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก” เดี๋ยวจะมาสอนเรานะ ถ้าทำได้จริงนี่จะมาสอนเรา หลวงพ่อพูดผิด หลวงพ่อพูดผิด หนูรู้จริงเลยล่ะ นี่เป็นปัจจัตตัง คนที่เป็นปัจจัตตังรู้จริงนี่มันอาจหาญมาก ฉะนั้นให้บริกรรมพุทโธไปเรื่อยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นมานี้มันเป็นผลแล้ว

ถาม : ๑๕๒. ผู้หญิงจะบวชอย่างไรให้บรรลุพระอรหันต์ (โอ้โฮ) บรรลุพระอรหันต์นั้นต้องบวชเสมอใช่ไหมคะ ถ้าเป็นผู้ชายก็บวชเป็นพระภิกษุ กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ถ้าเป็นผู้หญิงบวชเป็นชีถูกหรือไม่เจ้าคะ เพราะในสมัยพุทธกาล ผู้หญิงเป็นพระอรหันต์จะต้องบวชเป็นภิกษุณีค่ะ

หลวงพ่อ : ได้ ใช่ แม่ชีแก้วนะเป็นแม่ชี แม่ชีแก้วเผาแล้วเป็นพระอรหันต์ กระดูกเป็นพระธาตุ ฉะนั้นพูดถึงผู้หญิงหรือผู้ชายก็แล้วแต่นะ ผู้หญิงจะบวชอย่างไรให้เป็นพระอรหันต์ เราจะบอกว่า “บวชหัวใจไง”

การบวชนะ บวชกายบวชใจ เวลาพระบวชแล้วเห็นไหม นี่เวลาพวกนี้คิดเลยล่ะ เวลาหลวงปู่มั่นนี่อยู่ที่ถ้ำสาริกา พอลงจากถ้ำสาริกามา เห็นไหม ท่านอยู่บนถ้ำสาริกา ท่านกำหนดจิตดูพระหลวงตาข้างล่าง ท่านเป็นพระนะ แล้วหัวค่ำก็ลงมาดูทีหนึ่ง ท่านเป็นพระเป็นหลวงตา ท่านเคยมีครอบครัวมา ท่านก็คิดถึงครอบครัว พอส่งมาตอนเที่ยงคืน ก็ยังคิดถึงครอบครัว ก่อนจะตี ๔ จะลงมาบิณฑบาต กำหนดจิตมาดูก็ยังคิดถึงครอบครัว เช้าลงมาเห็นไหม หลวงปู่มั่นถาม ถามนี้เพื่อจะเตือน แบบว่าประสาก็เพื่อจะสอนไง เพื่อจะบอกให้ไปทำสิ่งที่ดี บอกว่า “หลวงตาเมื่อคืนนี้แต่งงานกับคนเก่านะ แต่งงานกับคนเก่าตั้งแต่เช้ายันรุ่งเลย แต่งงานตั้งหลายรอบ”

แต่งงานกับคนเก่าเห็นไหม เราจะบอกว่านี่เห็นไหมเป็นพระ แต่หลวงปู่มั่นบอกว่าแต่งงาน พระแต่งงานไม่ได้ ทำไมแต่งงานกับสีกาคนเก่าทั้งคืนเลย เราถึงบอกว่า ถ้าบวชโดยสมมุตินี่มันบวชแต่กาย แต่หัวใจไม่ได้บวช

ผู้หญิงจะบวชอย่างไรให้เป็นพระอรหันต์

เรานี่นะ มันแบบว่า เวลาเราบวชเป็นพระ เราได้เพศมา “เพศของพระ” โยมนี่เพศผู้หญิง เพศผู้ชาย นี่ผู้ชายเป็นเพศพระ เพราะบวชมาได้เพศมา ฉะนั้นเราเป็นผู้หญิงใช่ไหม เราก็บวชหัวใจของเรา ผู้หญิงจะบวชอย่างไรให้เป็นพระอรหันต์ เราบวชหัวใจของเรานี่ ศีลสมาธิปัญญาจะใครก็ทำได้ เว้นไว้แต่สิ่งที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน

สัตว์เดรัจฉานมันยังทำความดีได้นะ ท้าวโฆสก สุนัขนี่มันพยายามไปคาบจีวรของพระปัจเจกพระพุทธเจ้ามาฉันข้าวทุกวันๆ เลย เวลาจะพรากจากกัน มันคิดถึงมันตายไปนี่มันไปเกิดเป็นเทวดา หมามันยังไปเกิดเป็นเทวดานะ เราเป็นมนุษย์ ฉะนั้นเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี้ เราก็ทำได้

ฉะนั้นจะน้อยใจว่าไม่ได้บวชนู้นไม่ได้บวชนี้ บรรลุพระอรหันต์แล้วค่อยไปบวชแม่ชี ไม่ต้องไปห่วงให้มันเป็นพระอรหันต์ก่อน แหม.. ยังไม่เป็นพระอรหันต์เลย กลัวว่าไม่ได้บวชแล้วจะตาย ไม่ต้องห่วงหรอกว่า ตัวเองจะบวชเป็นพระหรือเป็นชี เพราะเวลาเราเป็นพระอรหันต์แล้ว เราจะรู้ของเราเลยล่ะว่าเราควรทำอะไร เราทำของเราได้ เป็นผู้หญิงนะ เราอยู่ในเพศนะ

ฉะนั้นเราถึงบอก นี่ที่หลวงตาท่านค้านบ่อย ที่บอกว่านี่พอบรรลุพระอรหันต์แล้วไม่บวชภายใน ๗ วันต้องตายอะไรนี่ ท่านบอกว่า คำว่า “ตาย” ท่านพูดอย่างนี้นะ ท่านบอกว่า “คำว่า ‘อรหันต์’ มรรคผลนี่มันจะทำร้ายคนหรือ” แล้วถ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว แล้วมันต้องตาย แต่ท่านบอกว่ามันจะเป็นความเห็นของพระอรหันต์นั้นเอง

พระอรหันต์นั้นนะ เวลาเป็นพระอรหันต์แล้วส่วนใหญ่จะบวช บวชเพราะอะไร เพราะบวชเป็นพระแล้ว โดยมารยาทสังคมเขาเคารพใช่ไหม ถ้าไม่ได้เป็นมารยาทสังคมนี่ สมมุติว่าคนนี้เป็นพระอรหันต์ ยังไม่ได้บวช แล้วเขาทำอะไรที่ไม่ถูกใจเรานี่ โอ้โฮ เราติตายเลย ถ้าเราไปติคนนี้แล้วเราเป็นกรรมนะ ฉะนั้นถ้าเป็นพระเห็นไหม ถ้าเป็นพระทำอะไรผิดนะเราก็ไม่กล้าตินะ เพราะท่านเป็นพระ เห็นไหม มันป้องกันอะไรหลายๆ อย่างเลย

ถ้าเราเป็นพระอรหันต์แล้ว เราจะอยู่กับโลกนี้ ให้โลกเขาได้กรรมไหม เราจะทำให้โลกเขานี่มีปัญหาไหม เรามีสามัญสำนึก เราก็ควรจะไปอยู่ในที่สังคมเขาเคารพใช่ไหม แล้วพอบวชไปแล้วจะทำตัวอย่างไรเนาะ คือว่าบวชแล้วก็ให้มันดีไง ไม่ใช่พระอรหันต์ทำอะไรแล้วเขาก็ยังจะด่าอยู่ไง

ฉะนั้นที่ว่าเป็นผู้หญิงจะบวชอย่างไรให้เป็นพระอรหันต์ เราจะตอบว่าบวชใจก่อน พอเป็นพระอรหันต์แล้วตัวเองจะรู้หมดนะ นี่พวกเรานี่นะยังไม่มีสมบัติเลยไง ห่วงแต่ไม่มีตู้เซฟเก็บ กลัวแต่ตู้เซฟอยู่ไหนเนาะ จะเอาแบงก์ไปเก็บ ยังไม่ได้หาแบงก์กันเลยนะ ห่วงแต่ “เอ๊ะ แบงก์จะไปเก็บที่ไหน แบงก์จะไปเก็บที่ไหน” ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะพาไปฝากธนาคารเลยล่ะ ถ้าใครมีเงินเยอะเดี๋ยวเราจะไปเอาผู้จัดการมารับฝากเลย

ฉะนั้นขอให้บวชใจก่อน บวชใจแล้วทำดีไป ทำดี อย่าไปห่วง พวกเราจะวิตกกังวลไง จริงๆ นะ เพราะลูกศิษย์มาปรารภเรื่องนี้มาก พวกผู้หญิงนี่มาปรารภว่า “ไม่เหมือนผู้ชายได้บวช ผู้ชายได้ปฏิบัติ ผู้ชายได้ธุดงค์ หนูก็ไปไม่ได้” เห็นใจ อันนี้เห็นใจอยู่ เห็นใจอยู่ แต่คำว่าเห็นใจนะ ทีนี้ถ้าเราไปวิตกกังวล นิวรณธรรมกั้นสมาธิ นิวรณธรรมทำลายความตั้งใจเราหมดเลย นิวรณธรรมนี่เห็นไหม ความง่วงเหงาหาวนอน ความวิตกกังวล ความห่วงใยอาวรณ์ นี่นิวรณธรรมเห็นไหม นิวรณธรรมมันปิดกั้นสมาธิเราเลย นิวรณธรรมมันจะมาทำให้เราปฏิบัติไม่มีทางไปได้เลย

ฉะนั้นไอ้นี่มันเป็นนิวรณธรรม นิวรณ์ วิตกกังวลไง วิตกว่านู้นก็ไม่เป็นนี้ นี้ก็ไม่เป็นนั้น ทิ้งมันให้หมดไปเลย แล้วบวชใจ พอบวชใจนี่นิวรณธรรมนี้ นิวรณ์นี่มันไม่มากางกั้นมรรคผลที่เราจะได้ ถ้านิวรณ์นี้มันไม่มากางกั้นมรรคผลที่เราจะได้ เราปฏิบัติไปโดยข้อเท็จจริง เราจะได้ผลตามนั้น แล้วถ้าเราได้ผลตามนั้นแล้วนะ ไอ้บวชหรือไม่บวชแล้วค่อยมาว่ากัน มาพูดกันทีหลังนะไอ้บวชไม่บวชนี่ แต่ให้มันเกิดผลจริงขึ้นมาก่อน ถ้ามันเกิดผลจริงขึ้นมาตามความเป็นจริงนั้น มันจะเป็นประโยชน์กับเรานะ

ถาม : ผู้หญิงจะบวชอย่างไรเมื่อบรรลุพระอรหันต์

หลวงพ่อ : มันอยู่ที่บวชไง อย่างแม่ชีแก้ว ท่านอยู่กับหลวงตามาตั้งแต่ต้น แม่ชีแก้วเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นก่อน หลวงปู่มั่นนี่ สังคมมันยังไม่มั่นคงไง หลวงปู่มั่นเลยบอกว่า “ถ้าเป็นผู้ชายเราจะบวชเป็นเณรแล้วพาไปกับเรา นี่เป็นผู้หญิง มันเป็นภาระ” ถึงบอกว่าถ้าจะอยู่กับโลกก็อยู่กับโลกไปก่อน แต่ท่านก็บอกว่าต่อไปข้างหน้า จะมีคนมาแก้ไข

เราจะบอกว่า สมัยหลวงปู่มั่นนี้สังคมมันยังแคบ ผู้ที่ปฏิบัติมันยังน้อย แล้วผู้นำมันยังไม่มี เห็นไหม หลวงปู่มั่นนี่ท่านมีใจที่เป็นธรรมเนาะ ท่านละล้าละลัง ท่านห่วงก็ห่วงนะ เพราะท่านเหมือนกับรู้อนาคตไง มองอนาคตังสญาณได้ไง ถ้าเป็นผู้ชายเราจะบวชเป็นเณรแล้วเอาไปกับเรา แต่นี่เป็นผู้หญิง เอาไปไม่ได้ เราไม่อยู่แล้วอย่าปฏิบัตินะ เพราะปฏิบัติแล้วมันจะรู้เห็นอะไรแปลกๆ แล้วท่านจะแก้

นี่ท่านถึงวางไว้ก่อน แล้วท่านก็พยายามเอาตัวท่านเห็นไหม ขึ้นไปเชียงใหม่ ขึ้นไปไหน เอาตัวท่านจนรอดได้ พอเอาตัวรอดแล้วกลับมาอยู่ที่หนองผือ แม่ชีแก้วบวชเป็นชี ก็มาหามาคารวะหลวงปู่มั่นตลอดเวลา จนคืนที่จะตายเห็นไหม แม่ชีแก้วพยายามทอผ้า ผ้ายังไม่เสร็จก็จะมากราบ พระอาจารย์ท่านก็เร่งใหญ่เลยนะ หลวงปู่มั่นนี่ “รีบไปกราบพ่อนะ ถ้าไปสายกว่านี้มันจะไม่ได้เห็นหน้า ถ้าไปสายมันจะเหลือแต่ซาก” มาเร่งทุกคืนเลย ทางนี้ก็ไม่เสร็จ นี่หลวงตาเล่า เอาขี้ปากหลวงตามาเล่าต่อ

สุดท้ายนะพอจะตายเห็นไหม มาเลยล่ะ “นี่บอกให้ไปหาไปหาแล้วไม่ไป ตอนนี้ไปก็เหลือแต่ซากแล้ว” ร้องไห้โฮเลยล่ะ สุดท้ายแล้วนี่บอกว่าจะมีคนมาสอนนะ แล้วหลวงตาก็มาสอน นี่พูดถึง ท่านเป็นชีอยู่แล้ว แล้วท่านเป็นชี แน่นอน แน่นอนเพราะว่ามีหลวงปู่มั่นฝึกมาก่อน แล้วหลวงปู่มั่นเห็นจริตนิสัยไง เห็นอำนาจวาสนา แล้วสุดท้ายหลวงตาท่านก็มาแก้ของท่าน แล้วก็จบไปแล้ว

ฉะนั้นพวกเรานี่เป็นหญิงเป็นชายเห็นไหม มันก็มีครูบาอาจารย์เรา ท่านประพฤติปฏิบัติเป็นตัวอย่างของเราอยู่ เราถึงตั้งใจของเรา อย่าไปห่วงหน้าพะวงหลัง อย่างที่ว่า “นิวรณธรรม” เราไปวิตกกังวลเสียก่อน มันก็เลยมาทำให้เราปฏิบัติยากขึ้น เราไม่ต้องวิตกกังวลหรอก เพราะเดี๋ยวนี้สังคมมันไม่เหมือนสมัยหลวงปู่มั่น สมัยหลวงปู่มั่นยังไม่มีเลย มีหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์นี่เป็นผู้ริเริ่ม ฉะนั้นไปอยู่ที่ไหนมันก็ต้องลำบากเป็นธรรมดา

แต่เดี๋ยวนี้เห็นไหม ครูบาอาจารย์เรานี่เป็นที่เชื่อถือของสังคมแล้ว แล้วผู้หญิงปฏิบัติก็เยอะแยะ แต่สมัยนั้นมันมีน้อย ฉะนั้นไม่ต้องวิตกกังวล ขอให้ประพฤติปฏิบัติ แล้วถ้ามันเป็นจริงขึ้นมานะ ไอ้ความรู้สึกอันนั้น มันจะร้องอ๋อเอง “อ๋อ อย่างนี้เอง ทำอย่างนี้ก็ได้” แต่ถ้ามันยังไม่อ๋อนี่นะ อู้ฮู วิตกเลยนะ “จะบวชอย่างไรดีนี่ จะทำอย่างไรดี นะ” มันก็เลยกลายเป็นแบบว่าจับปลาสองมือสามมือ มันก็เลยไม่ค่อยมั่นคง ไม่ค่อยได้ผล

ฉะนั้นเอาความจริงของเราขึ้นมา เพื่อประโยชน์กับเราในการประพฤติปฏิบัติเนาะ เอวัง